ขี้เหล็ก

 




ชื่อวิทยาศาสตร์            Senna siamea (Lam.) Irwin et Barneby

วงศ์                              Fabaceae (Leguminosae)

ชื่อพ้อง                         Cassia florida Vahl, C. siamea Lam.

ชื่ออื่นๆ                        ขี้เหล็กแก่น ขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กหลวง ขี้เหล็กใหญ่ ผักจี้ลี้ แมะ ขี้เหละพะโดะ ยะหา

Cassod tree, Siamese cassia, Siamese

senna, Thai copper pod

สารออกฤทธิ์                ไม่มีรายงานการวิจัย

 

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับทำให้เจริญอาหาร

ไม่มีรายงานการวิจัย

 

หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ

1.    การทดสอบความเป็นพิษ

มีการศึกษาพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากสมุนไพรไทยหลายชนิด โดยป้อนและฉีดสารสกัดเข้าใต้ผิวหนังของหนูถีบจักรในขนาดต่างๆ กัน พบว่าสารสกัดจากใบขี้เหล็ก ขนาด 10 ./กก. ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง ไม่ว่าจะให้โดยวิธีการป้อนหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (1) ส่วนอีกการทดลองหนึ่งกล่าวว่า ใบขี้เหล็กมีผลทำให้สัตว์ทดลองตาย ในการทดสอบพิษแบบเฉียบพลัน (2) มีการทดสอบสารสกัดส่วนเหนือดินด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) และเมทานอลและน้ำ (1:1) ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง คือ มากกว่า 1 ./กก. เมื่อฉีดให้ทางช่องท้อง (3, 4) ส่วนการทดลองความเป็นพิษในประเทศไทย พบว่าเมื่อนำสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์-น้ำ (1:1) มาป้อนหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังให้หนูถีบจักร 10 ./กก. ไม่พบพิษ (5) เมื่อนำส่วนสกัดอัลคาลอยด์จากใบขี้เหล็กมาป้อนหนูตะเภาหรือหนูขาว ในขนาดเทียบเท่าผงใบแห้ง 70 ./กก. ไม่พบพิษ (6) มีผู้พบ Toxic alkaloid (C14H19O3N) ซึ่งทำให้หมูตาย และสารนี้พบในฝักและใบ (7) มีรายงานผู้รับประทานใบขี้เหล็กเพื่อช่วยให้นอนหลับ มีรายงานว่ามีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน แต่เมื่อหยุดยาอาการตับอักเสบลดลงเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีการทดลองพิษเฉียบพลันในหนูขาว โดยให้บาราคอล ซึ่งเป็นสารจากขี้เหล็ก ขนาด 60, 100 และ 120 มก./กก. หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ไม่พบความผิดปกติของตับ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซทามอล และการศึกษาพิษแบบกึ่งเฉียบพลัน โดยให้บาราคอลขนาด 60, 120 และ 240 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ แต่แบ่งกลุ่มที่ได้รับขนาด 240 มก./กก. เป็น 2 กลุ่ม คือให้งดบาราคอลในสัปดาห์สุดท้าย พบว่าน้ำหนักของหนูที่ได้รับบาราคอล จะลดลง ไม่พบการตาย (necrosis) ของเซลล์ตับ แต่มี bilirubin เพิ่มขึ้น และพบการเปลี่ยนแปลงของการย่อยไขมัน โดยจะขึ้นกับขนาดของบาราคอลที่ได้รับ ซึ่งผลดังกล่าวสามารถกลับสู่ปกติได้เมื่อหยุดใช้ (8)

2.    พิษต่อตับ

          มีการรายงานภาวะตับอักเสบที่เกิดจากยาขี้เหล็ก พบว่ามีผู้ป่วยอย่างน้อย 9 ราย ในปี พ.. 2542 มีภาวะตับอักเสบ โดยความสัมพันธ์ของภาวะตับอักเสบจากยากับยาขี้เหล็กจัดอยู่ ในระดับความสัมพันธ์ตั้งแต่ขั้นเป็นไปได้ (probable) จนถึงขั้นแน่นอน (definite) ตามเกณฑ์มาตรฐานการวินิจฉัย หรือ DILI scale (drug induced liver injury scale) และยังมีผู้ป่วยอย่างน้อย 2 ราย ได้ทดลองกินยาขี้เหล็กซ้ำใหม่หลังภาวะตับอักเสบเฉียบพลันดีขึ้นแล้ว พบว่าเกิดอาการของตับอักเสบซ้ำอีก (9) และเมื่อต้นปี พ.. 2543 แพทย์ทางอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ได้รายงานถึงภาวะตับอักเสบที่อาจสัมพันธ์โดยตรงต่อการใช้สมุนไพรขี้เหล็ก หรืออาจจะเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกันของยา (Drug interaction) ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่มีอาการตับอักเสบ จากการซักประวัติ พบว่ามีพฤติกรรมบริโภคอาหารเสริมหรือยา รวมทั้งขี้เหล็กด้วย (10) นอกจากนี้ยังมีการทดสอบพิษต่อตับของบาราคอล ซึ่งเป็นสารสำคัญที่สกัดจากใบอ่อนของต้นขี้เหล็กในเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงของตับคน ชนิดเฮพจี 2 โดยใช้บาราคอลความเข้มข้น 0.25, 0.50, 0.75 และ 1 มิลลิโมลาร์ ทำการทดสอบเทียบกับอะเซตามิโนเฟนซึ่งเป็นสารพิษต่อตับ วัดผลการทดสอบที่เวลา 24, 48, 72 และ 96 ชม. พบว่าบาราคอลและอะเซตามิโนเฟน มีผลเป็นพิษต่อตับ โดยขึ้นกับขนาดและเวลาที่ได้รับสารบาราคอลมีพิษต่อตับอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ที่ความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.75 มิลลิโมลาร์ ที่เวลา 24 ชม.ของการสัมผัส ส่วนที่เวลา 48, 72 และ 96 ชม.ของการสัมผัส จะพบพิษของบาราคอลที่ความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 มิลลิโมลาร์ ค่า IC50 ของบาราคอลต่อเซลล์ที่เวลา 24, 48, 72 และ 96 ชม.ของการสัมผัส มีค่าเท่ากับ 5.70, 0.96, 0.77 และ 0.68 มิลลิโมลาร์ ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบพิษต่อเซลล์ระหว่างบาราคอลและอะเซตามิโนเฟน ที่ความเข้มข้น 1 มิลลิโมลาร์ พบว่าบาราคอลมีพิษต่อเซลล์มากกว่าอะเซตามิโนเฟน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ที่เวลาต่างๆ กันของการสัมผัส (11) การศึกษาพิษเรื้อรังของใบขี้เหล็กซึ่งมีบาราคอลเป็นสารสำคัญในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ เป็นเวลา 6 เดือน โดยป้อนผงใบขี้เหล็กแขวนตะกอนในน้ำทางปากให้กับหนูขาว โดยใช้ใบขี้เหล็ก ขนาด 20, 200 และ 2000 มก./นน.ตัว 1 กก./วัน ดูผลการทดสอบหลังจากหยุดให้ยา 2 สัปดาห์ ผลการศึกษาพิษแสดงให้เห็นว่าหนูที่ได้รับใบขี้เหล็กทุกขนาด มีการเจริญเติบโตและการกินอาหารไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม หนูเพศเมียที่ได้รับใบขี้เหล็ก ขนาด 2000 มก./กก มีน้ำหนักไตสูงกว่ากลุ่มควบคุม หนูเพศผู้ที่ได้รับใบขี้เหล็ก ขนาด 200 และ 2000 มก./กก. มีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และหนูเพศผู้ที่ได้รับใบขี้เหล็ก ขนาด 2000 มก./กก. มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงของค่าโลหิตวิทยานี้กลับสู่ปรกติได้ภายหลังหยุดยาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลของใบขี้เหล็กต่อค่าทางเคมีของซีรั่มนั้น พบว่าขี้เหล็ก ขนาด 200 และ 2000 มก./กก. ทำให้ค่าบิลิรูบินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ใบขี้เหล็ก ขนาด 2000 มก./กก. ทำให้ระดับคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ของหนูเพศผู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้หนูเพศเมียที่ได้รับใบขี้เหล็ก ขนาด 200 และ 2000 มก./กก. มีค่า creatinine ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การเปลี่ยนแปลงของค่าทางชีวเคมีนี้กลับสู่ปรกติภายหลังหยุดยาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ สำหรับหนูเพศผู้ ส่วนหนูเพศเมียไม่กลับสู่สภาพปรกติ เมื่อผ่าซากชันสูตรตรวจอวัยวะภายในต่างๆ พบว่าหนูที่ได้รับใบขี้เหล็กขนาด 2000 มก./กก มีน้ำหนักไตและน้ำหนักสัมพัทธ์ของไตและตับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าของอวัยวะภายในต่างๆ ยกเว้นตับของหนูบางตัวที่ได้รับใบขี้เหล็กขนาด 2000 มก./กก. มีขนาดโตขึ้นและมีสีเหลือง (Fatty liver) การศึกษาเนื้อเยื่อทางจุลพยาธิวิทยาของตับ แสดงให้เห็นว่าใบขี้เหล็กมีพิษต่อตับอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มที่ได้รับใบขี้เหล็กขนาด 2000 มก./กก. โดยทำให้เซลล์ตับของหนูขาวเสื่อมและมีการตาย (degeneration and necrosis) และความรุนแรงของพยาธิสภาพนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามขนาดของใบขี้เหล็กที่ได้รับ (12) การทดลองในหนู wistar เพศผู้ที่ได้รับบาราคอลซึ่งสกัดมาจากขี้เหล็ก ขนาด 10-100 มก./กก. เป็นเวลา 30 วัน ไม่พบความผิดปกติในตับและไต (13)

3.    พิษต่อเซลล์

          เมื่อทดสอบสารสกัดเมทานอลจากใบสด ความเข้มข้น 20 มคก./มล. กับ Raji cells พบว่าไม่มีพิษ (14) แต่พบว่าสารบาราคอลจากใบอ่อนของขี้เหล็กเป็นพิษต่อเซลล์ P19 embryonal carcinoma cells โดยมีค่า IC50 ที่ 0.57, 0.62, 0.53 และ 0.43 มิลลิโมล่าร์ ที่เวลา 36, 48, 60 และ 72 ชั่วโมงตามลำดับ หลังจากได้รับสารดังกล่าว (15)

 

          เนื่องจากมีรายงานความเป็นพิษต่อตับ เมื่อใช้ในขนาดสูงและต่อเนื่อง และไม่มีรายงานช่วยเจริญอาหาร จึงไม่แนะนำให้รับประทานเป็นพิเศษ ให้รับประทานเป็นอาหารตามปกติ

 

เอกสารอ้างอิง

1.      มงคล โมกขะสมิต กมล สวัสดีมงคล ประยุทธ สาตราวาหะ.  การศึกษาพิษของสมุนไพรไทย.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1971;13(1):36-66.

2.      Suphakarn V, Ngunboonsri P, Glinsukon T.  Biological value of plant proteins: protein quality and safety of khilek Cassia siamea.  Annual Research Abstracts, Mahidol University, 1987:95.

3.       Aswal BS, Bhakuni DS, Goel AK, et al.  Screening of Indian plants for biological activity: part X.  Indian J Exp Biol 1984;22(6):312-32.  

4.       Nakanishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plants preliminary chemical and pharmacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;13: 882-90.  

5.       Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.  

6.       อุไร อรุณลักษณ์.  การศึกษาสมุนไพร 1. การศึกษาเภสัชวิทยาของใบขี้เหล็ก.  สารศิริราช; 1(9):434-44.

7.       Council of Scientific & Industrial Research.  The wealth of India: a dictionary of raw materials and industrial products Vol. II.  New Delhi:Insdoc 1950:427 pp.  

8.       Pumpaisalchai W, Siriaunkgul S, Taesothikul T, et al. Toxicity of barakol : hepatotoxicity and subacute toxicity.  The 3rd World Congress on Medicinal Plant and Aromatic Plants for Human Welfare, Chiang Mai, Thailand, 3-7 Feb   2003.

9.       สมบัติ ตรีประเสริฐสุข มงคล หงษ์ศิรินิรชร อนุชิต จูฑะพุทธิ.  ภาวะตับอักเสบจากสมุนไพร "ขี้เหล็ก" บทเรียนเพื่อการพัฒนาสมุนไพรไทย.  คลินิกนานาสาระ 2000;186(16):385-90.

10.    ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง.  ติดฉลากเตือนใช้ขี้เหล็กระวังโรคตับ.  The Medicine Journal 2000;1(2):14.

11.    สมทรง ลาวัณย์ประเสริฐ ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ สุรชัย อัญเชิญ ยุพิน ลาวัณย์ประเสริฐ.ดาเรสเซนต์.  การศึกษาความเป็นพิษของบาราคอลต่อตับโดยการทดสอบด้วยเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงของตับคน ชนิดเฮพจี2.  ไทยเภสัชสาร 2544;25(3-4):149-59.

12.    ปราณี ชวลิตธำรง ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมมนัส อัตตวิชญ์ สดุดี รัตนจรัสโรจน์ สมเกียรติ   ปัญญามัง บุญมี สัญญสุจจารี.  การศึกษาพิษเรื้อรังของใบขี้เหล็กในหนูขาว.  การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ "พันธมิตรร่วมใจ กระบวนทรรศน์ใหม่เพื่อการวิจัยและพัฒนา". กรุงเทพฯ, 15-16 พฤษภาคม 2544:41.

13.    13 Thongsaard W, Dedachapunya C, Showpittapornchai U. Effects of subacute administration of barakol on liver and kidney function in rats. The 3rd World Congress on Medicinal Plant and Aromatic Plants for Human Welfare, Chiang Mai, Thailand, 3-7 Feb 2003.

14.    Murakami A, Kondo A, Nakamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand, and identification of an active constituent, cardamonin, of Boesenbergia pandurata. Biosci Biotech Biochem 1993;57(11): 1971-3.  

15.    Permtermsin C, Chaichanthipyuth C, Lipipun V, et al. Evaluation of cytotoxic effect of barakol on P19 embryonal carcinoma cell.  Thai J Pharm Sci 2002;Vol 26(suppl.):29.